วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ยุคสมัยของญี่ปุ่น

ยุคหิน 35,000 – 14,000 ปีก่อนค.ศ.

เมื่อ 100,000 ปีก่อน ที่แผ่นดินญี่ปุ่นยังติดกับแผ่นดินใหญ่อยู่  ก็มีคนอยู่แถบนั้นอยู่แล้ว  พอ 30,000 ปีก่อนค.ศ. ก็เป็นยุคหินที่เหมือนในหนัง ที่ใช้หินจุดไฟทำมีดทำหอกล่าสัตว์


1. ยุคญี่ปุ่นโบราณ


1.1   ยุคโจมง 14,000 – 400 ปีก่อนค.ศ.

เริ่มมีเครื่องปั้นดินเผา

1.2   ยุคยะโยอิ 400 ปีก่อนค.ศ. – ค.ศ.250

เริ่มมีการปลูกข้าว ทำการเกษตร ทำโลหะ

1.3   ยุคยะมะโตะ

–  ยุคโคะฟุง ค.ศ.250 – ค.ศ.538

เริ่มมีการทอผ้า ต่อเรือ
กลุ่มเล็กๆเริ่มรวมตัวกัน
ศูนย์กลางอยู่ที่ที่ราบยะมะโตะ

–  ยุคอะซึกะ ค.ศ.538 – ค.ศ.710

วัดโฮริวจิ 
ศาสนาพุทธเริ่มเข้ามามีกษัตริย์แล้วศูนย์กลางอยู่ที่นะระ
วัดแรกถือกำเนิดขึ้น ชื่อว่า โฮริวจิ เป็นวัดไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น


2. ยุคญี่ปุ่นคลาสสิก

2.1   ยุคอะซึกะ ค.ศ.538 – ค.ศ.710

              -

2.2  ยุคนะระ ค.ศ.710 – ค.ศ.794

ตั้งเมืองหลวงแห่งแรกชื่อ เฮโจเกียวการปกครองก็ตามแบบจีน แต่ไม่เหมาะเลยอยู่ได้ไม่นาน
เกิดโรคระบาด ข้าวยากหมากแพง ขึ้นภาษี

2.3  ยุคเฮอัง ค.ศ.794 – ค.ศ.1185

เมืองเฮอังสมัยก่อนก็คือเกียวโตในปัจจุบัน
เป็นยุคที่อยู่นาน ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมาก
มีการปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆที่ได้รับมาจากภายนอกให้กลายมาเป็นรูปแบบของตัวเอง เช่นตัวอักษรจีนที่ยาก ก็ปรับให้ง่าย
ราชสำนักใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ ความสัมพันธ์กับทหารก็เลยเริ่มคลอนแคลน
ปลายยุคนี้เป็นยุคที่จักรพรรดิถูกยึดอำนาจจากเหล่าขุนนาง โดยสรุปดังนี้
เริ่มจากกลุ่มขุนนางที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด คือตระกูลฟุจิวะระ  (บางที่ก็บอกว่า คำว่าฟุจิวะระไม่ใช่เป็นนามสกุล แต่เรียกเป็นกลุ่มหรือเครีอฟุจิวะระ  แต่ในความเข้าใจก็คือเป็นนามสกุลนั่นแหละ)
สาเหตุที่ตระกูลฟุจิวะระมีอิทธิพลมากเพราะ จักรพรรดิเทนจิ ได้พระราชทานชื่อฟุจิวะระ ให้กับฟุจิวะระ โนะ คามาตาริที่มีความดีความชอบในการปฏิรูปไทอิกะ
จากนั้นคนของฟุจิวะระได้เข้ายึดอำนาจในราชสำนัก ผูกขาดตำแหน่งสูงสุดรองจากจักรพรรดิมากว่า 500 ปี  โดยให้บุตรสาวของเครือฟุจิวะระเข้าแต่งงานกับจักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิองค์ต่อๆมามีเชื้อสายของเครือฟุจิวะระสืบต่อมา
การปกครองส่วนใหญ่จะเป็นคนของตระกูลฟุจิวะระแทบทั้งสิ้น มีการซื้อขายตำแหน่ง ครอบครองที่ดิน มีทรัพย์สินมากกว่าท้องพระคลังซะอีก
ต่อมาก็มีตระกูลซามูไร ที่ชื่อว่า มินาโมโตะ โยริโมโมโตะ (ก็สืบเชื้อสายจากจักรพรรดิเหมือนกัน)เข้ามามีอำนาจพอจะต่อกรกับเครือฟุจิวะระได้
อีกตระกูลหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันก็คือ ตระกูลไทระ ซึ่งก็มีเชื้อสายจักรพรรดิองค์ก่อนๆอยู่เหมือนกัน จับมือกับตระกูลฟุจิวะระ เพื่อรบกับตระกูลมินาโมโตะ
แต่เมื่อตระกูลฟุจิวะระกับไทระแพ้มินาโมโตะ ทำให้ตระกูลฟุจิวะระและไทระต้องล่มสลายลง และมินาโมโตะ โยริโมโมโตะก็ตั้งตัวเองเป็นโชกุนแห่งคามาคุระ  แต่ตระกูลฟุจิวะระก็ยังสืบทอดสายจักรพรรดิอยู่

ตระกูลฟุจิวะระ

ตระกูลมินาโมโตะ

ตระกูลไทระ

3. ยุคศักดินาญี่ปุ่น


3.1  ยุคคะมะกุระ ค.ศ.1185 – ค.ศ.1333

กำเนิดตำแหน่งโชกุน ตั้งรัฐบาลทหาร โดยฐานบัญชาการมาที่เมืองคะมะกุระ(ใกล้ๆโตเกียว) แต่เกียวโตก็ยังถือว่าเป็นเมืองหลวงอยู่
รัฐบาลทหารนี้เน้นการประหยัด ป้องกันตัวเอง กล้าหาญ รักเกียรติ(bushido) ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของซามูไร (ตรงข้ามกับยุคนะระเลย)
จากนั้นอำนาจถูกเปลี่ยนจากตระกูลมินาโมโตะ  ไปยังตระกูลโฮโจ  ซึ่งเป็นตระกูลทางภรรยา
จักรพรรดิ ก่อกบฏคิดจะยึดอำนาจจากโชกุน(ใครแพ้ก็เรียกว่ากบฏทั้งนั้นล่ะ) เลยถูกเนรเทศ แต่ลูกๆของจักรพรรดิยังสู้กับตระกูลโฮโจไม่ถอยที่เมืองคะมะกุระ
ซามูไรที่ไม่พอใจเผด็จการทหารของตระกูลโฮโจก็มาเข้าร่วมกับกลุ่มของจักรพรรดิมากขึ้น
ฝ่ายโฮโจก็เลยส่ง อะชิคะงะ ทะกะอุจิ มาต้านทัพจักรพรรดิไว้ แต่เขากลับแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับจักรพรรดิ  แล้วเป็นคนนำทัพยึดเกียวโต และคะมะกุระไว้ได้
ต่อมากองทัพมองโกลเข้าบุกตอนเหนือของเกาะคิวชู  แต่โดนพายุคะมิคะเซ่  เลยต้องถอยทัพไป  แต่อำนาจของค่ายทหารคะมะกุระที่เริ่มเสื่อมมาก่อนแล้ว  ก็เลยจบลงอย่างง่ายดาย

ตระกูลโฮโจ 

3.2  ยุคการฟื้นฟูเคมมุ ค.ศ.1333 – ค.ศ.1336

จักรพรรดิเข้ามาฟื้นฟูการปกครอง  ทำให้เหล่าซามูไรไม่พอใจที่อำนาจจะไปตกที่ขุนนางและราชสำนักอีก
อะชิกะงะ ทะดะโยชิ (น้องของ อะชิคะงะ ทะกะอุจิ) ได้ลักพาตัวลูกอีกคนของจักรพรรดิ(มาเป็นหุ่นเชิด)ไปคะมะกุระและจัดตั้งการปกครองที่นั่น เพื่อแสดงให้เห็นว่าซามูไรยังต้องการรัฐบาลโชกุน
ฝ่ายจักรพรรดิก็เลยตั้งลูกอีกคนเป็นโชกุน  แต่อะชิกะงะ ทะดะโยชิ  ก็หาว่าโชกุนคนที่จักรพรรดิตั้ง  ได้ก่อกบฏต่อจักรพรรดิ จึงหาเรื่องจับตัว 
ฝ่ายรุ่นลูกของตระกูลโฮโจที่ตกไปแล้ว  ก็ก่อกบฏขึ้นมาอีก เพราะอยากได้อำนาจคืน เลยยกทัพไปขับไล่ อะชิกะงะ ทะดะโยชิ
ก่อนที่ อะชิกะงะ ทะดะโยชิ จะหนีออกจากเมือง ก็ฆ่าลูกของจักรพรรดิคนที่ถูกตั้งเป็นโชกุนนั้นก่อน  แล้วตระกูลโฮโจก็เข้ามาครองอำนาจแทน
แต่ไม่นาน อะชิกะงะ ทะกะอุจิ ก็เข้ามาปราบกบฏตระกูลโฮโจทีหลัง
ฝ่ายจักรพรรดิเลยฉวยโอกาสนี้ ส่งทัพมาจากเกียวโต เพื่อมาปราบ อะชิกะงะ ทะกะอุจิ  แต่ฝ่ายจักรพรรดิกลับพ่ายแพ้
อะชิกะงะ ทะกะอุจิ โกรธก็เลยยกทัพไปบุกเกียวโตของจักรพรรดิบ้าง  แต่ก็พ่ายแพ้กลับมาอีก  เพราะยังมีซามูไรที่ภักดีต่อราชสำนักอยู่มาก
อะชิกะงะ ทะกะอุจิ หนีไปคิวชู แล้วรวบรวมพรรคพวกยกทัพเข้าบุกเกียวโตอีก และสำเร็จด้วย แล้วตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้น ชื่อจักรพรรดิโคเมียว (เป็นราชวงค์ฝ่ายเหนือ)
จักรพรรดิองค์เดิม หนีมาทางใต้ แล้วตั้งราชสำนักขึ้นใหม่ที่เมืองโยชิโนะ (เป็นราชวงค์ฝ่ายใต้)

3.3  ยุคมุโระมะจิ

– ยุคนัมโบะกุโจ ค.ศ.1336 – ค.ศ.1392

อะชิกะงะ ทะกะอุจิ ขึ้นเป็นโชกุนอยู่ที่เกียวโต รับผิดชอบเรื่องการทหาร ส่วน อะชิกะงะ ทะดะโยชิ ดูแลเรื่องการปกครอง
แต่ไม่นานทั้งสองก็เกิดขัดแย้งกัน เพียงแค่ทะดะโยชิไม่พอใจที่พี่ชายตั้งคนอื่นเป็นคนสนิท เลยลอบฆ่าคนสนิทนั้นแต่ไม่สำเร็จ  จึงถูกขับไล่ออกจากบะกุฟุ
ทะดะโยชิ เลยไปบวช1ปี แล้วหันไปสวามิภักดิ์กับราชวงศ์ฝ่ายใต้ แล้วบุกเข้าเกียวโต แต่ก็ได้แค่การปกครองส่วนของตนกลับมาเท่านั้น แถมยังต้องระแวงว่าจะโดนฆ่าอีก เลยย้ายไปตั้งการปกครองที่คะมะกุระ แต่ก็ถูกวางยาพิษในอีกไม่นานอยู่ดี
ราชสำนักฝ่ายใต้เห็นว่าตระกูลอะชิกะงะมีความขัดแย้งภายใน เลยฉวยโอกาสเข้าบุกและสำเร็จ แต่เพียงแค่เดือนเดียวก็ถูกยึดกลับไปอีก
ยุคนี้ในช่วงโชกุนรุ่นที่3 ที่ชื่อ อะชิคะงะ โยชิมิสึ (คนที่ชอบเรียกอิ๊กคิวซังไปถามปัญหา ส่วนอิ๊กคิวซังก็คือลูกของจักรพรรดิองก่อน)เป็นช่วงที่เจริญรุ่งเรืองมาก  ระบบชลประทาน การเพาะปลูกที่ดี การค้าเจริญ เคร่งครัดเรื่องลัทธิบุชิโด ที่มีความอดทนอดกลั้นสูง อยู่ในความเรียบง่าย
เรียกว่ารวยขนาดโชกุนอะชิคะงะ โยชิมิสึ ถึงกับสร้างตำหนักทองไว้เพื่ออาศัยอยู่เลย 
แต่ก็ยังมีการปะทะกันระหว่างพวกไดเมียว(หัวหน้ากลุ่มนักรบในเขตท้องถิ่น)อยู่บ่อยๆ
ยุคนี้ตอนปลายสงครามภายในเริ่มระอุขึ้นทีละน้อยก็จากไดเมียวที่แตกแยกออกเป็นสองกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบโชกุน ที่ชนชั้นนักรบจะมีอำนาจมาก
โชกุนคนที่8ชื่อ อะชิกะงะ โยชิมาสะ ได้สร้างตำหนักเงิน (ที่ในปัจจุบันเรียกว่าวัดเงินหรือวัดกินคะคุจิ)
วัดกินคะคุจิ
ชาวโปรตุเกสเริ่มเข้ามาค้าขายแล้ว และมีศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ด้วย
ช่วงปลายของยุคนี้ โอดะ โนบุนางะ ซึ่งเป็นตระกูลไดเมียว ร่วมกับผู้นำอีกสองคนคือ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ และ โทกุงะวะ อิเอยะซุ ต้องการรวมประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิ ได้นำทับเข้ายึดเกียวโต

– ยุคเซงโงะกุ ค.ศ.1392 – ค.ศ.1573

เกิดสงครามกลางเมือง เพราะอำนาจของโชกุนตระกูลอะชิคะงะเสื่อมลง ทำให้ไดเมียวผู้ปกครองแคว้นต่างๆพากันตั้งตนเป็นอิสระ และทำสงครามกันระหว่างเมือง
ว่ากันว่าตอนสงครามโอนิน  มีการเผาบ้านเรือนในเกียวโตย่อยยับ ประเทศตกอยู่ในกลียุค แต่โชกุนยังคงอยู่ในปราสาททอง(คินคะคุจิ)ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โอดะ โนบุนะงะ ที่ตอนนั้นเป็นเจ้าเมืองอยู่ตอนกลางของเกาะฮอนชู  ต้องการรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น  ประมาณว่ากำจัดอำนาจมุโระมะจิ  แต่สร้างอารยธรรมอะซึจิโมโมะยะมะของตนขึ้นมาแทน  เพื่อความมั่นคงของตัวเอง
โอดะ โนบุนะงะ
ตระกูลอะชิคะงะ

3.4  ยุคอะซึจิโมโมะยะมะ

–  ยุคเซงโงะกุ ค.ศ.1573 – ค.ศ.1603

โอดะ โนบุนะงะ  ไม่ได้ตั้งตัวเองเป็นโชกุน แต่เป็นผู้บัญชาการทหาร และได้นำขุนศึกทั้งสองคือ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ  กับ โทกุงะวะ อิเอยะซึ  เข้าปราบพวกไดเมียวที่แข็งข้อ ตามแคว้นต่างๆทั่วประเทศ เพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว
แต่ต่อมามีขุนพลคนสนิทคนหนึ่งของโอดะ โนบุนะงะ ได้ยกทัพมาฆ่าโอดะ โนบุนะงะ ได้สำเร็จ และฆ่าลูกของโนบุนะงะที่อยู่ในปราสาทนิโจอีกด้วย
แต่ไม่นานขุนพลคนนี้ก็ถูก โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ เข้าตีกลับ จึงประกาศตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์ตระกูลโอดะ แต่ก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ เพราะต่างก็รู้เจตนาที่แท้จริงออก
แต่โทกุงะวะ อิเอยะซึ และไดเมียวคนอื่นๆก็ต้องยอมสงบศึกกับ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ  โดยการต้องส่งลูกสาว หรือคนสำคัญไปเป็นตัวประกันอยู่ที่ ปราสาทโอซะกะ
โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ  ขึ้นชื่อว่าได้รวมประเทศได้สำเร็จ และตั้งสภาอาวุโสทั้ง5 โดยมีไดเมียวอาวุโส5คน (หนึ่งในนั้นก็คือ โทกุงะวะ อิเอยะซึ)
พอ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ถึงแก่กรรม ก็เกิดการแย่งอำนาจกันระหว่างไดเมียวทั้ง5  โดยแบ่งเป็น2ขั้วอำนาจ
ฝ่ายตะวันตก มีผู้นำคือ อิชิดะ มิสึนะริ
ฝ่ายตะวันออก มีผู้นำคือ โทกุงะวะ อิเอยะซุ
ทั้งสองขั้วอำนาจมีการรบกันอยู่บ่อยครั้งจนในที่สุด โทกุงะวะ อิเอยะซุ ก็เป็นฝ่ายชนะ และอีกฝ่ายก็ต้องถูกประหารไปตามระเบียบ
ช่วงปลายของยุคนี้ โทกุงะวะ อิเอยะซุ ได้เข้าโจมตีปราสาทโอซะกะ ซึ่งเป็นที่พักของตระกูลโทโยโตมิ
สรุปแล้ว จากที่ทั้งสามมีเจตนารมณ์เดียวกันคือการรวมประเทศ  เป็นนักรบที่รวมตัวกันเพื่อสร้างประเทศขึ้นใหม่  กลับกลายมาเป็นศัตรูกัน โดย
โอดะ โนบุนะงะ ที่เป็นผู้นำ  ใจร้อน เลยตายก่อนเพื่อนเลย
โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ  สวมรอย และได้เป็นใหญ่ต่อ (แต่ไม่ได้เป็นโชกุน) ใหญ่รุ่นเดียวก็หมด
โทกุงะวะ อิเอยะซุ  ผู้ใจเย็นรอโอกาสเหมาะ และได้เป็นโชกุนในยุคถัดมา แบบปราศจากผู้ต่อกร และมีทายาทสืบทอดตระกูลโชกุนอีกนับสิบรุ่นเลยทีเดียว

โทกุงะวะ อิเอยะซุ

โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ

4. ยุคใกล้


4.1  ยุคเอโดะ ค.ศ.1603 – ค.ศ.1868

โทกุงะวะ อิเอยะซุ   ตั้งตัวขึ้นเป็นโชกุน ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต มาที่เมืองเอโดะ(โตเกียวในปัจจุบัน)
มีการสร้างแบบแผนใหม่ แทบจะทุกแง่มุมของวิถีชีวิต ทั้งการเมือง สังคม วัฒนธรรม
นโยบายปิดประเทศ ถือเป็นวิธีหนึ่งที่จะรักษาเสถียรภาพทางสังคม และการเมือง
แต่จริงๆแล้ว ชาวยุโรปได้เข้ามาก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว  ทั้งอาวุธ วิทยาการต่างๆ ความรู้การแพทย์ ที่สำคัญคือศาสนาคริสต์ ที่โชกุนคิดว่ามันคืออาวุธร้ายแรงที่สุด
เลยห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทศ ยกเว้นกลุ่มพ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ และจีนที่นะงะซะกิ ญี่ปุ่นจึงได้มีโอกาสรับรู้โลกภายนอกผ่านกลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้น
ประชากรแบ่งเป็น 4 กลุ่ม
นักรบ หรือ ซามูไร 5%
ชาวไร่ชาวนา 80%  จะอยู่ในชนบทเท่านั้นไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาในเมืองกันง่ายๆ
ช่างฝีมือและพ่อค้า 15% กลุ่มนี้จะเรียกรวมๆว่าชาวเมือง จะอยู่ใต้การปกครองของนักรบ
เป็นยุคที่มีความสงบสุข ทำให้มีสิ่งประดิษฐ์ และศิลปะกรรมด้านต่างๆออกมามากมาย
ปลายยุคนี้ถูกกดดันให้เปิดประเทศ แถมกฏระเบียบที่เข้มงวดทำให้เกิดความตึงเครียดในบ้านเมืองมากขึ้น
พลเรือจัตวา แมทธิว ซี เพอร์รี แห่งสหรัฐอเมริกา ได้นำเรือดำ 4 ลำมากดดันที่อ่าวโตเกียว  และสำเร็จในปีถัดไป ประเทศอื่นๆเห็นอเมริกาทำได้ก็เรียกร้องบ้าง สุดท้ายญี่ปุ่นก็ต้องยอมเปิดประเทศ
ด้วยการที่กระแสทางสังคมและการเมืองเปลี่ยนไป ทำให้ระบบศักดินาเสื่อมศรัทธา กระทั่งสิ้นสุดลง และถวายคืนอำนาจอธิปไตยให้กับจักรพรรดิในการปฏิรูปเมจิ



5. ยุคปัจจุบัน


5.1  เมจิ ค.ศ.1868 – ค.ศ.1912

ยุคนี้เรียกว่าการปฏิรูปเมจิ ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเมจิ ประเทศมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
มีการย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต ไปเอโดะ  ซึ่งยุคนี้มีการเปลี่ยนชื่อจากเอโดะ เป็นโตเกียว 
มีการยกเลิกการแบ่งชนชั้น เพื่อให้ทุกคนทุ่มเท มีความกระตือรือร้นในการศึกษา และรับอารยธรรมตะวันตกมาใช้
คนต่างชาติจะรู้สึกได้ถึงความรุนแรง และความตื่นตัวของคนญี่ปุ่นที่สะสมมานาน  จนระเบิดพลังความอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มที่
การรบกับจีนก็ถึงกับได้ไต้หวันมาครอง  รบกับรัสเซียก็ได้ซัคคาลินตอนใต้คืนมา แถมยังได้เกาหลีมาเป็นดินแดนในอารักขาอีกด้วย
ถือว่าจักรพรรดิเมจิใช้การปกครองประเทศด้วยความเข้าใจ และสร้างสรรค์ แต่ก็สวรรคตก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่1  ซึ่งหลังจบสงคราม  ญี่ปุ่นก็ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก  ว่าเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกเลยทีเดียว

5.2  ไทโช ค.ศ.1912 – ค.ศ.1926

จักรพรรดิไทโ ขึ้นครองราชแทนจักรพรรดิเมจิ
การปกครองยังคงเป็นแบบระบบ  สภาพอุตสาหกรรมยังเติบโตอย่างรวดเร็ว  แต่ด้วยเศรษฐกิจโลกตกต่ำ  ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นถดถอยตาม

จักรพรรดิไทโ

5.3  โชวะ

–   จักรวรรดินิยม ค.ศ.1926 – ค.ศ.1945

จักรพรรดิฮิโรฮิโตะขึ้นครองราชแทนจักรพรรดิไทโช
ความเชื่อมั่นในพรรคการเมืองน้อยลง และในที่สุดก็ต้องยุบพรรคการเมืองทั้งหมด  และตั้งพรรคการเมืองแห่งชาติขึ้นมาแทน  แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาตรายางเท่านั้น  ความวุ่นวายนำไปสู่สงครามแปซิฟิก  และเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่2ในอีกไม่กี่ปี

จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ

–   ญี่ปุ่นภายใต้การดูแล ค.ศ.1945 – ค.ศ.1952

ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่2 ได้ยอมรับข้อตกลงยอมแพ้สงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร  และประชาชนได้วางอาวุธตามพระราชโองการของจักรพรรดิ
ญี่ปุ่นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายสัมพันธมิตรนานถึง 6 ปี ภายใต้การนำโดย พลเอกดักลาส แม็คอาเธอร์ โดยมีข้อตกลงดังนี้
–  ห้ามมีกองกำลังป้องกันประเทศและคณะปฏิวัติ มีได้แต่ป้องกันภายในประเทศเท่านั้น
–  ต้องเป็นชาติแห่งประชาธิปไตย และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
–  เปิดประเทศ ค้าขายอย่างเสรี พัฒนาทุกๆด้านให้ทันโลกาภิวัฒน์ ข้าราชการทำธุรกิจอื่นๆได้ด้วย
–  ห้ามแยกประเทศ
–  สหประชาชาติต้องคุ้มครองการรุกรานของประเทศอื่นๆให้ญี่ปุ่นด้วย (ก็ไปห้ามเขาไม่ให้มีทหารแล้วนี่นะ)
–  สนธิสันญาสันติภาพนี้ชื่อ ซานฟรานซิสโก
–  ญี่ปุ่นมีสิทธิบริหารกิจการต่างๆได้แล้วหลังจากถูกตัดสิทธิไประหว่างการถูกยึดครอง

–  หลังสงคราม ค.ศ.1952 – ค.ศ.1989

งานเร่งด่วนที่สุดคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเลยเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศ ทำให้มีการค้าเสรีกับหลายๆฝาย ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้มแข็งจนแข่งขันกับโลกได้
ญี่ปุ่นต้องพยายามปรับปรุงสถานะทางการทูตระหว่างประเทศอย่างมาก  สร้างสัมพันธ์กับประเทศต่างๆจนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญหลายๆอย่าง
สัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่นของชาวญี่ปุ่นก็คือการจัดโอลิมปิคที่โตเกียวเมื่อปี ค.ศ.1964
ปัจจัยพื้นฐานต่างๆในชีวิตประชาชนดีขึ้นมากจนทำให้เกิดความต้องการใหม่ๆ เช่น คุณภาพชีวิต ปัญหามลพิษ โรงเรียน ความเท่าเทียม (ประมาณว่ากินอิ่มนอนหลับไม่เพียงพอซะแล้ว ก็ต้องอยากได้สิ่งที่ดีขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา)

ปีค.ศ.1970 เศรษฐกิจเริ่มทรุดหนัก  คนญี่ปุ่นมีความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ค่านิยมที่แตกต่างกันมากขึ้น การแสดงออกมากขึ้น แสวงหาเป้าหมายส่วนบุคคลมากขึ้น

5.4  เฮเซ ค.ศ.1989 – 2019

                  จักรพรรดิอะกิฮิโตะ ขึ้นครองราชย์ต่อจากจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ

      5.5  เรวะ ค.ศ. 2019ปัจจุบัน

                 สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ ขึ้นครองราชย์ต่อจากจักรพรรดิอะกิฮิโตะ

 จักรพรรดิอะกิฮิโตะ


สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ



อ้างอิง
www.gonoguide.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น